สำหรับปี 2016 ที่มาแล้ว หลายๆคนอาจนึกถึงงานเฉลิมฉลอง , เป้าหมายปีใหม่ หรือ การไปช้อปปิ้งสินค้าลดราคาต่างๆ เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเช่นเดียวกันกับนักการตลาดหลายๆคนที่พยายามทำนายกระแส หรือเทรนด์การตลาดที่จะเกิดขึ้นในโลกของดิจิทัล
ดังนั้นเก็บต้นคริสมาสต์และไฟประดับประดาปีใหม่ลง และโยนเศษค้กกี้ที่กินเหลือๆทิ้งไปและลองดูเทรนด์การตลาดออนไลน์ต่อไปนี้ที่กำลังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ในปี 2016. ทางที่ดีที่สุดในการเอาชนะคู่แข่งคือเป็นผู้นำ และตามให้ทัน กับการตลาดดิจิทัล ลองดูเทรนด์ต่อไปนี้เพื่อไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณกันเลย
#1: การโฆษณาผ่านช่องทาง Social Media
การโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ และการคาดการณ์ในปี 2017 เม็ดเงินในการลงสื่อโฆษราช่องทางออนไลน์จะแซงหน้าสื่อหลักอย่างโทรทัศน์
อ้างอิงจาก Interpublic Group’s Magna Global, ในปี 2015 ค่าโฆษณาในโลกดิจิทัลเติบโตขึ้นกว่า 17.2% (ประมาณ 160 พันล้านดอลลาร์) และจะเติบโตขึ้น 13.5% ในปี 2016, และคาดว่าจะแซงหน้าสื่อหลักรุ่นเก๋าอย่างช่องทางโทรทัศน์ ในปี 2017
ด้วยเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ก้อนยักใหญ่นี้ได้ถูกจัดสรรไปยังสือสังคม (Social Media) นักการตลาดทั้งหลายไม่อาจมองข้ามเทรนด์นี้ได้เลยในปี 2016 จากข้อมูลของ eMarketer predicts ค่าโฆษณาผ่านช่องทาง social network จะทะลุ 3.598 หมื่นล้านดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยกว่า 1.2 ล้านล้านบาท! ) ในปี 2017 คิดเป็น 16% ของเงินโฆษณาในวงการดิจิทัลทั้งหมด
แล้วนักการตลาดควรทำอะไร อย่างไร เพื่อให้แซงหน้าคู่แข่ง
- เริ่มต้นจากการตัดสินใจว่า Social Media ตัวไหน ที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ถ้าคุณขายสินค้าประเภท กระเป๋า Handmade สวยๆ ช่องทาง Instagram และ Pinterest น่าจะเป็นช่องทางที่เหมาะสม หรือถ้าคุณทำธุรกิจที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มธุรกิจ หรือ B to B การเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมใน Facebook อาจเป็นช่องทางที่เหมาะสมในในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ทดสอบการโพสท์ของคุณทั้งแบบการโพสท์ปกติแบบไม่ลงเงินโฆษณา (organic) และการลงโฆษณา หรือ promote ไม่ใช่แต่การกระจายเม็ดเงินโฆษณาแบบสุ่มๆ มั่วๆ แต่ควรเลือกเนื้อหาเด็ด หรือเนื้อหาน่าสนใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้คนเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น
- อย่าปล่อยให้เม็ดเงินโฆษณาสูญเปล่าด้วยการใส่ใจกับ Call-to-Action หรือการทำโฆษณากระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมาย “ทำ” กิจกรรมที่คุณต้องการ เช่น การโฆษณาใน Facebook ที่กระตุ้นให้คนเข้าสู่เว็บไซต์ พร้อมปุ่ม call-to-action โฆษณาลักษณะนี้ย่อมคุ้มค่ากว่าการโปรโมทธุรกิจเพื่อสร้างการรับรู้เพียงอย่างเดียว
#2: ข้อความ Facebook (Facebook Messenger สำหรับธุรกิจ)
ในเดือนมีนาคมของปี 2015 ที่ผ่านมา Facebook ได้เปิดตัว Messenger สำหรับธุรกิจ เพื่อขยายช่องทางในการใช้โปรแกรมแชทยอดฮิตที่ปกติเราจะใช้กันเพื่อคุยกับ เพื่อนๆ คนรัก และสมาชิกในครอบครับ และสามารถใช้ได้กับธุรกิจรูปแบบ B2C and และ B2B
จากฐานผู้ใช้ Facebook messenger’s ที่เพิ่มขึ้นกว่า 700 ล้านคนในทุกๆเดือน และการเติบโตกว่า 40% จากปี2014 ไปยัง 2015 (อ้างอิงจาก Luxury Daily) ค่อนข้างส่งสัญญาณชัดเจนว่า Messenger สำหรับธุรกิจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับวงการธุรกิจ
นอกจากการเป็นช่องทางในการโต้ตอบกับลูกค้าแบบตัวต่อตัวแล้ว นักการตลาดยังใช้ช่องทางของ Facebook Messenger เหมือนกับการทำการตลาดผ่านอีเมล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการแจ้ง Promotions ใหม่กับลูกคเป้าหมาย เพียงแค่คุณส่งข้อความไปเพื่อกระตุ้นให้เขากลับมาซื้อของ หรือแม้แต่การแจ้งสถานะการจัดส่งสินค้าแบบรายคนก็สามารถทำได้
ส่วนในประเทศไทย LINE Messenger ย่อมเป็นที่คุ้นเคยกับพฤติกรรมคนไทย และมีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หัวใส ใช้เป็นช่องทางในการติดต่อเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่ง Promotion ไปยังกลุ่มลูกค้า หรือการแชทกับลูกค้ารายบุคคลเพื่อปิดการขาย
สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย และพยายามเข้าถึงกลุ่มที่ลูกค้าเป้าหมายเราอยู่ เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
#3: การตลาดออนไลน์แบบดั้งเดิม หรือ Banner โฆษณา
ทำไมถึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ขนาดนี้? คำตอบคือ เพราะการทำโฆษณาออนไลน์ถือเป็นเชื้อเพลิงหลักของเว็บไซต์ เมื่อโฆษณาโดนปิด ก็เหมือนประตูเข้าเว็บไซต์ถูกปิดลงนั่นเอง
“ ในยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GNPของสหรัฐอเมริกา เป็นตัวเลขเม็ดเงินโฆษณากว่า 350 พันล้านดอลลาร์ และ กลุ่มลูกค้าในวงการโฆษณายอมจ่ายเงินกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี” อ้างอิงจาก AdvertisingAge. “บางเว็บไซต์ที่มีฐานกลุ่มผู้เข้าชมกว่าล้านคน สูญเสียรายได้ว่า 40% เพราะ ad blocking.”
ไม่ว่า ad blockers จะส่งผลกระทบต่อคุณหรือไม่ในปี 2016, ตัวเลขด้านบนก็แสดงให้ถึงการวัดผลมูลค่าของสื่อที่อาจส่งผลกระทบ และกลับมาพิจารณาว่า เป้าหมายของหารโฆษณาไม่ไม่ได้ถูกบิดเบือนไป และนี่คือการวางแผนและปรับใช้ของสื่อโฆษณาในยุคเดิม หรือ Bannner โฆษณานั่นเอง
หากรูปแบบ ข้อความ หรือ ความรู้สึกหลังจากการเห็น Banner เป็นเนื้อหาที่ไม่ใช่การขายของ เทคโนโลยีของ ad blocking ก็จะไม่เอา Banner เหล่านั้นออกจากเว็บไซต์ การลงโฆษณาด้วย Banner ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง แต่พักหลังเริ่มมีการตื่นตัวกับการบล๊อกโฆษณา หรือ ad blocking มากขึ้น ดังนั้นลองพิจารณาเทรนด์นี้ และปรับใช้กับกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณ
#4: Personalized PPC
กว่า 1 ใน 3 ของนักการตลาดเห็นถึงความสำคัญของการทำการตลาดเฉพาะบุคคล (personalization) คือความสามารถของการตลาดที่สำคัญในอนาคตข้างหน้า จากการศึกษาของ Adobe study เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกของที่อินเทอร์เน็ตรู้จักตัวคุณมากกว่าเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้าคุณเสียอีก
เมื่อในหลายปีที่ผ่านมา การทำโฆษณาใน Search Engine คือการเลือกคำค้นหา หรือคำสำคัญที่ถูกต้องเพื่อเช้าถึงกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการของคุณ แต่กลยุทธ์นี้ก็มีข้อบกพร่องอยู่มาก จากการสร้างจำนวนคลิก และการเยี่ยมชมเว็บไซต์จากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก (PPC) ค่อนจ้างแพง ถ้าคุณวางแผนกับกลุ่มคำที่ไม่เหมาะสม ถึงแม้คุณจะวางแผนเรื่องคำสำคัญได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่ปริมาณของคนที่ค้นหาคำนั้นอาจมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งอาจไม่เพียงพอในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในธุรกิจของคุณ
ถ้า Google รู้ข้อมูลของผู้ค้นหามากขึ้น ทำไมถึงเป็นการยากที่ผู้ลงโฆษณาจะหากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมได้ล่ะ? ข้อแรก Google ปกป้องข้อมูลของผู้ใช้แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ถึงความต้องการของผู้ลงโฆษณา ดังนั้นจึงเกิดบริการ Customer Match ในเดือนกันยายน 2015 บริการ Customer Match สามารถให้คุณอัพโหลดรายชื่อของลูกค้าที่คุณมีอยู่ และ สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายผ่านการค้นหา ฟีเจอร์นี้ก็มีในFacebook และ Twitter ด้วยเหตุนี้เองทำให้การโฆษณาผ่าน Search และ Social Media มีลักษณะคล้ายกับการทำโฆษณาผ่านอีเมล โดยการส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายด้วยความเข้าใจในระดับการซื้อของลูกค้าเป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น การนำรายชื่แฐานลูกค้ามาจากการสัมมนาล่าสุกบนซอฟท์แวร์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ คุณสามารถทำโฆษณากับพวงเขาในช่องทาง Google , Facebook และ Twitter ในระดับการตัดสินใจซื้อที่แน่นอน ในปu 2016 ค่า โฆษณษาต่อคลิก (PPC) จะเริ่มเข้าสู่ระดับบุคคลมากขึ้น ซึ่งนักการตลาดต้องวิเคราะห์ และนำเครื่องมือไปใช้ เพื่อเชื่อมโยงกลุามลูกค้าเป้าหมายในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยใช้ข้อความที่เหมาะกับลูกค้าในแต่ละช่วงความต้องการ
#5: การทำการตลาดแบบอัตโนมัติ(Marketing Automation)
การทำการตลาดแบบอัตโนมัติไม่ใช่เรื่องใหม่ ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 5.5 พันล้านของการใช้จ่ายเพื่อระบบการตลาดอัตโนมัติ นักการตลาดพยายามทำความเข้าใจถึงความสำคัญในการปรับใช้ การตลาดแบบอัตโนมัตินี้ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ
ที่บริษัท WordStream, เราต้องเพิ่มจำนวนคนในทีมเป็น 2 เท่า ถ้าเราไม่มีระบบอัตโนมัติ
การลงตารางการส่งอีเมล แยกประเภทรายชื่อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การวางแผนโพสท์ Social Media ล่วงหน้า การจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ ด้วยระบบอัตโนมัตินี้เองทำให้เราสามารถเข้าถึง และทำเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จ
แล้วทำไมการทำการตลาดแบบนี้ถึงกลายมาเป็นเทรนด์ของปี 2016 หลายๆบริษัทนำระบบอัตโนมัติไปใช้แล้วพบว่าผลไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
ปี 2016 จะกลายเป็นปีที่นักการตลาดต้องศึกษาให้ลึกลงไป และ ระบุช่องว่างของยอดขายกับกลไกทางการตลาด และวางกลยุทธ์ด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อทำให้งานง่ายขึ้น และมีสามารถบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น
#6: การทำการตลาดผ่านVideo
เมื่อหลายคืนที่ผ่านมา ฉันใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ในการดู คลิป VDO ความยาว 30 วินาทีเกี่ยวกับสูตรการทำอาหารฉบับรวบรัดบน Instragram และตอนนี้ไม่ว่าชั้นจะเลื่อนหน้าจอใน social media feed ไหนๆ ฉันก็ถูก VDO 1 , 2 ,3 หรือมากกว่านั้นกระโดดเข้าใส่หน้า ทั้งแบบมีเสียง และไม่มีเสียง และเริ่มเข้าใจว่าธุรกิจทุกขนาดใช้ VDO ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของชำเล็กๆใน South Dakota ไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ การตลาดผ่าน VDO นั้นมาแรงมากก มากกก และมากกกจริงๆ!!
จำนวนงบประมาณส่วนใหญ่ของการทำโฆษณาถูกจัดสรรไปที่ video ที่บริษัท Yahoo ก็ได้ปรับใช้กับการโฆษณาผ่าน Video ทุกรูปแบบ เช่น การโฆษณาแบบเต็มหน้าจอที่เล่นแบบอัตโนมัติ ( full-screen sized auto-play video ad) ที่ดึงดูดผู้ชมในหน้า search engines ได้
Videos ช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าผ่านการมองเห็น สี เสียง และดนตรี หน้าที่สำคัญของ videos คือช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับธุรกิจที่ไร้ตัวตนได้เข้าถึงผู้บริโภคผ่านการสื่อสารที่เป็นมนุษย์มายิ่งขึ้น และยังสร้างความจงรักภักดี และความเชื่อใจได้อีกด้วย อะไรที่จะน่าจดใจไปกว่าเนื้อหาของ Video ที่น่าทึ่ง และไม่อาจจะลืมได้ จากการศึกษาของ Web Video Marketing Council, 96% ของนักการตลาด B2B ใช้ Video เป็นเครื่องมือในการทำการตลาก
“นักการตลาดได้เรียนรู้ว่า Video นั้นมีความสามารถมากกว่าการดึงดูดความสนใจ,”จาก Tyler Lessard, CMO ของ Vidyard. “มันสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในทุกช่วงของการตัดสินใจและได้ผลดีกว่าคำโฆษณาที่ชวนซื้อเสียอีก”
ในปี2016 นักการตลาดควรจับตาดูในกระแสของ video marketing และการวิเคราะห์ หากนักการตลาดที่ยังไม่ได้ทำการตลาดและวัดผลด้วย video มันถึงเวลาแล้วนะ!!
#7:ยุคของ Mobile (อีกแล้ว)
เป็นปีของ mobile หรือมือถือจริงๆ! แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่แค่ปีนี้ที่เป็นปีของ mobile แต่ปี 2014, 2013, and 2012 ก็เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่เป็นสัญญาณชัดเจนคือการประกาศของ Google การใช้อินเทอร์เน็ตด้วยมือถือได้แซงหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือ PC ไปแล้ว ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Mobilegeddon” โครงสร้าง algorithm เปลี่ยนไปทำให้การทำการตลาดแบบ SEOs ต้องปรับตัวต้อนรับเทรนด์นี้ โดยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีขนาดเหมาะสมกับขนาดหน้าจอมือถือด้วย
มือถือของพวกเรากลายเป็นเหมือนอวัยวะสำคัญของเราไปแล้ว ครั้งหนึ่งเราลืมมือถือไว้บนเครื่องบินแค่ 10 นาทีเท่านั้น แต่ความรู้สึกเหมือนกับการสูญเสียเพื่อนสนิทไปทีเดียว สิ่งสำคัญที่นักการตลาดต้องปรับตัวคือ การให้ความสำคัญกับมือถือที่เปรียบเสมือนด่านหน้า และแค่รักษาระดับของการทำการตลาดบน PC หรือ คอมพิวเตอร์ไว้ และปรับเปลี่ยนแผนการตลาดให้เหมาะสมกับหน้าจอมือถือมากขึ้น
#8: อุปกรณ์ IT แบบสวมใส่ (Wearable Devices)
แล้วมันมีความหมายอย่างไรในมุมของนักการตลาดล่ะ ข้อมูลที่มากขึ้นมาจากการกระทำของกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น จำนวนก้าวที่เดิน หรือชั่วโมงการนอนหลับ ส่งสัญญาณถึงเทรนด์ “internet of things” ที่จะมีอิทธิพลต่อนักการตลาดในปีหน้าอย่างแน่นอน
#9: ปุ่ม “ซื้อ” (Buy Button)
นักการตลาดของธุรกิจ E-commerce และธุรกิจค้าปลีกต่างๆ จงฟัง!!! ปุ่ม”ซื้อ” เริ่มปรากฏในแพลท์ฟอร์มออนไลน์ต่างใน บนร social media เช่น Pinterest และ Twitter เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Google ได้ยืนยันที่จะทดลองปุ่มซื้อของตัวเองเช่นกัน การเพิ่มขีดความสามารถในการซื้อจาก Social Media ต่างๆ และ Searc Engine จะเกิดขึ้นปี 2016 และนักการตลาดของ e-commerce marketers ต้องทำความเข้าใจอย่างมาก บางคนอ่าจไม่ชอบไอเดียนี้เพราะทำให้สูญเสียภาพลักษณ์ของแบรนด์ และกลัวว่า Google และ social media กำลังพยายามทำตัวเป็นผู้ขายสินค้าด้วยตัวเอง ปุ่มซื้อนี้ขึ้นอยู่กับเราว่าจะใช้ในการสื่อความหมายอ่นๆ เพื่อเพิ่มการเปลี่ยนผู้ชมเป็นผู้ซื้อ (Conversions) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากช่องทางมือถือ
“เมื่อการซื้อขายผ่านช่องทางมือถือเติบโตมากกว่าคอมพิวเตอร์ 3 เท่า ภายใน 3 เดือนแรก สัดส่วนของคนที่ซื้อสินค้าหลังจากที่คลิกโฆษณาในมือถือมีต่ำกว่าคอมพิวเตอร์หรือเดสก์ทอป อ้างอิงจาก Re/code’s Joshua Del Ray “แต่ถ้าคุณใช้วิธีการเพิ่มปุ่มซื้อไปในโฆษณาบน Twitter, Facebook, Pinterest หรือ Google อัตราของ conversion rate ก็จะพัฒนาดีขึ้น และเมื่อ conversion rate ดีขึ้น, ผู้ซื้อโฆษณาก็จะจ่ายค่าโฆษณามากขึ้น ”
ไม่ว่าคุณจะชอบปุ่ม Buy นี้หรือไม่ แต่ปุ่มเล็กๆปุ่มนี้จะได้รับความนิยมอย่างแน่นอนในปี 2016 นักการตลาดควรประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะกลุ่ม E-commerce
เทรนด์ 9 เทรนด์ต้อนรับ ปี 2016 เหมือนเป็นน้ำจิ้มในแต่ละเทรนด์เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่ “มาแน่” คือ โลกดิจิทัลนั้นได้สร้างการเรียนรู้ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น และ สร้างความประหลาดใจให้กับนักการตลาดอย่างแน่นอน